สถานีโทรทัศน์ช่อง 5
ร่วมกับบริษัท
มีเดีย ออฟ มีเดียส์ จำกัด
โดย ยุวดี บุญครอง
เสนอละครโทรทัศน์
แนว ชีวิต / แอ็กชั่น
อิงประวัติศาสตร์
เรื่อง แสงเพลิงที่เกริงทอ
โดยเป็นการสร้าง
เป็นละครโทรทัศน์
จากบทประพันธ์
โดย ภราดร ศักดา
นำมาดัดแปลง
เป็นบทโทรทัศน์
และกำกับการแสดง
โดย วรยุทธ พิชัยศรทัต
ละครโทรทัศน์
เรื่อง แสงเพลิงที่เกริงทอ
ออกอากาศ
เป็นครั้งแรก
ในทุกวันพุธ
และวันพฤหัสบดี
เวลา 18.45 น.
ซึ่งเป็นช่วงเวลาพิเศษ
ในโครงการเทเลไฟว์
ของทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 5
ในช่วงปี พ.ศ. 2539
(ในช่วงกลางยุค 90
ที่ผ่านมานั้น
ทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 5
ได้มีการทดลอง
และปรับเปลี่ยน
ในด้านผังรายการ
จากโครงการ
ในรูปแบบใหม่
ในชื่อ เทเลไฟว์
ทำให้มีการปรับ
ในด้านเวลา
จากการนำ
ละครโทรทัศน์
ในช่วงไพรม์ไทม์
ของบริษัทต่างๆ
ทั้ง เอ็กแซ็กท์
กันตนา อัครเศรณี
มีเดีย ออพ มีเดียส์ ฯลฯ
นำมาแพร่ภาพ
ในช่วงเวลาเย็น
และนำรายการโทรทัศน์
ประเภททอล์คโชว์
วาไรตี้ เกมโชว์ ฯลฯ
นำมาแพร่ภาพ
ในช่วงเวลา 20.30 น.
เพื่อเป็นทางเลือก
ให้กับผู้ชม
และลดการแข่งขัน
กับทางช่องอื่นๆ
ที่เป็นเจ้าตลาด
ในด้านละครโทรทัศน์)
ละครโทรทัศน์
เรื่อง แสงเพลิงที่เกริงทอ
ฉบับการสร้าง
ในปี พ.ศ. 2539
นำแสดงโดย พงษ์พัฒน์ วชิรบรรจง
รับบท อริน
จักรกฤษณ์ อำมรัตน์
รับบท ยอดดวง
สโรชา วาทิตตพันธ์
รับบท สุมังสา
สรพงษ์ ชาตรี
รับบท บาอ่อง
และนักแสดง
รับเชิญพิเศษ
Norman Tsui
หรือ ฉี เส้าเฉียน
ให้เกียรติร่วมแสดง
ในบท พันเอกซากิ
ร่วมด้วย เอกพัน บันลือฤทธิ์
รับบท ฟูจิตะ
ปภัสสรา ชุตานุพงษ์
รับบท อรุณี
อานนท์ สุวรรณเครือ
รับบท จำนงค์
วิชัย นัยนานนทน์
รับบท ร้อยโทโอชิ
ละครโทรทัศน์
เรื่อง แสงเพลิงที่เกริงทอ
จากบทประพันธ์
โดย ภราดร ศักดา
เป็นเรื่องราวการต่อสู้
และความเลวร้าย
ของช่วงเวลาสงคราม
โดยอิงประวัติศาสตร์
ในช่วงสมัยสงคราม
มหาเอเชียบูรพา
ในช่วงปี พ.ศ. 2484
โดยเหตุการณ์ต่างๆ
ในละครโทรทัศน์
ในเรื่องนี้นั้น
ได้มีการเกิดขึ้น
ที่จังหวัดกาญจนบุรี
ซึ่งเป็นเมืองสำคัญ
ตามประวัติศาสตร์
ของช่วงเวลา
ในสมัยสงครามโลก
จากการที่กาญจนบุรี
ถือเป็นเมืองหน้าด่าน
ที่ทางกองทหารญี่ปุ่น
ใช้เป็นเส้นทาง
ในการเดินทาง
ไปสู่ประเทศพม่า
โดยตัวละครหลัก
ของละครโทรทัศน์
ในเรื่องนี้
คือ อริน
ชายหนุ่มรูปหล่อ
ผู้มีความสามารถ
และมีความมั่นใจ
ในตัวเองอย่างสูง
โดยเขาเข้ามา
ยังพื้นที่แห่งนี้
เพื่อทำการสืบข่าว
และรายละเอียดต่างๆ
ของทางกองทหาร
จากประเทศญี่ปุ่น
เพื่อนำไปมอบ
ให้กับฝ่ายสัมพันธมิตร
ตามหน้าที่
ของการเป็นสายลับ
ให้กับหน่วย OSS
ซึ่งการเข้ามา
ยังพื้นที่
ที่มีความขัดแย้ง
ระหว่างชาวบ้าน
ในหมู่บ้านเกริงทอ
กับเหล่าทหารญี่ปุ่น
ก็ทำให้เขานั้น
ได้ทำความรู้จัก
กับ ยอดดวง
ผู้มีเบื้องหลัง
ในการทำงาน
กับกลุ่มเสรีไทย
และ สุมังสา
ลูกสาวคนสวย
ของบาอ่อง
ผู้เป็นหัวหน้า
ของหมู่บ้านเกริงทอ
ซึ่งมีความพยายาม
ที่จะรวบรวม
ในด้านกำลังคน
และอาวุธ
เพื่อเข้าต่อสู้
ในแบบทหารกองโจร
กับเหล่าทหารญี่ปุ่น
ที่ทรงอำนาจ
ในช่วงเวลานั้น
จากความทรงจำ
ของผู้เขียนบลอก
ละครโทรทัศน์
เรื่อง แสงเพลิงที่เกริงทอ
ฉบับการสร้าง
ในปี พ.ศ. 2539
มีความโดดเด่น
และได้รับความสนใจ
จากสื่อมวลชน
จากการที่ทีมงาน
ของการถ่ายทำ
ละครโทรทัศน์
ในเรื่องนี้
ได้รับเกียรติ
จาก Norman Tsui
หรือ ฉี เส้าเฉียน
พระเอกยอดนิยม
จากเกาะฮ่องกง
ที่ผู้ชมชาวไทย
เคยให้ความชื่นชอบ
จากบทบาท
พระเอกยอดนิยม
ในละครโทรทัศน์
ชุด กระบี่ไร้เทียมทาน
ที่เคยได้รับความนิยม
อย่างถล่มทลาย
ในประเทศไทย
รวมถึงประเทศอื่นๆ
ในแถบเอเชีย
ในช่วงต้นยุค 80
ได้ให้เกียรติ
มาร่วมนำแสดง
ในบทบาทสำคัญ
เป็น พันเอกซากิ
ที่ถือเป็นบทบาท
ที่มีความโดดเด่น
ในละครโทรทัศน์เรื่องนี้
โดยจากข่าวเบื้องหลัง
ของการถ่ายทำ
ละครโทรทัศน์
ในเรื่องนี้
เหล่าสื่อมวลชน
จากสำนักพิมพ์
และสถานีโทรทัศน์
ในช่องต่างๆ
ล้วนแต่ให้ความชื่นชม
ในตัวพระเอก
ที่มีชื่อเสียง
ในระดับตำนานผู้นี้
จากการที่เขานั้น
ถือเป็นนักแสดง
ที่วางตัวได้ดี
จากการเป็นหนุ่มใหญ่
ผู้มีความร่าเริง
มีมนุษยสัมพันธ์
และวางตัวง่ายๆ
ทำตัวสบายๆ
ทำให้ทางทีมงาน
และนักแสดง
ท่านอื่นๆ
ที่ได้ร่วมงาน
กับเขานั้น
ล้วนมีความประทับใจ
และมีบรรยากาศที่ดี
ในการทำงาน
ซึ่งการมาทำงาน
ในการถ่ายทำ
ละครโทรทัศน์
ในเรื่องนี้
เป็นระยะเวลา
ถึง 2 เดือน
พระเอกชื่อดังท่านนี้
ก็ได้ให้สัมภาษณ์
ว่าเขามีความประทับใจ
ในทีมงานชาวไทย
และมีความสุข
ที่ได้ทำงาน
และร่วมแสดง
ในละครโทรทัศน์
เรื่อง แสงเพลิงที่เกริงทอ
เพื่อผู้ชมชาวไทย
อีกครั้งหนึ่ง
โดยก่อนการแสดง
ในละครโทรทัศน์
ในเรื่องนี้
ในช่วงยุค 80
ที่ผ่านมานั้น
Norman Tsui
หรือ ฉี เส้าเฉียน
ถือเป็นนักแสดง
ที่มีชื่อเสียง
จากเกาะฮ่องกง
ที่เคยมารับบทบาท
ในผลงาน
ภาพยนตร์ไทย
เรื่อง เพชรตัดหยก
และ พยัคฆ์ยี่เก
ให้กับทางทีมงาน
กองถ่ายทำภาพยนตร์
ของ คุณคมน์ อรรฆเดช
ผู้อำนวยการสร้าง
และผู้กำกับภาพยนตร์
ที่มีชื่อเสียง
ในช่วงยุค 80
ซึ่งในการกลับมา
และร่วมทำงาน
กับทีมงาน
ซึ่งเป็นชาวไทย
ในครั้งนี้นั้น
สำหรับเขาแล้ว
ถือเป็นของขวัญ
สำหรับแฟนๆ
ผู้ชมชาวไทย
ที่มีความชื่นชอบ
ในผลงาน
ของตัวเขา
ในช่วงยุค 80
ที่ผ่านมา
