ในแบบโศกนาฏกรรม
จากบทละครอมตะ
เรื่อง Romeo and Juliet
ที่โด่งดังไปทั่วโลก
จากฝีมือการประพันธ์
ของศิลปินเอก
William Shakespeare
ได้ถูกนำมาสร้าง
ในรูปแบบต่างๆ
ทั้งละครเวที
ละครโทรทัศน์
และภาพยนตร์
รวมถึงเป็นแรงบันดาลใจ
ให้กับงานศิลปะ
วัฒนธรรมป๊อป
รวมถึงบทเพลง
ที่ได้รับความนิยม
อย่างมากมาย
โดยหนึ่งในการสร้าง
Romeo and Juliet
ในรูปแบบ
ของภาพยนตร์
ที่เป็นที่จดจำ
จากความโด่งดัง
ไปทั่วโลก
คือฉบับการสร้าง
เป็นภาพยนตร์
ในปี พ.ศ. 2511
ที่งดงาม ตระการตา
โดดเด่น สมบูรณ์แบบ
ทั้งงานการสร้าง
นักแสดงนำ
โปรดักชั่น เพลง
และดนตรีประกอบ
โดยนอกจากภาพยนตร์
ฉบับงานการสร้าง
ปี พ.ศ. 2511 แล้ว
Romeo and Juliet
ยังมีอีกหนึ่งงานสร้าง
ในรูปแบบภาพยนตร์
ที่มีการเปิดตัว
และเข้าฉาย
ในโรงภาพยนตร์
ไปทั่วโลก
ในช่วงปี พ.ศ. 2539
ซึ่งได้นำมาบันทึก
ไว้ในบทความ
ของบลอกครั้งนี้
ก็เป็นที่จดจำ
รวมถึงได้รับความนิยม
จากผู้ชมภาพยนตร์
ไปทั่วโลก
เช่นเดียวกัน
ซึ่งจากความแตกต่าง
จากการนำบทละคร
ที่มีความอมตะเรื่องนี้
นำมาดัดแปลง
ในรูปแบบสมัยใหม่
ด้วยความคิดสร้างสรรค์
ของผู้กำกับภาพยนตร์
มากความสามารถ
อย่าง Baz Luhrmann
ก็ได้ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้
ถือเป็นผลงานภาพยนตร์
ที่เป็นที่จดจำ
ของผู้ชมภาพยนตร์
หากย้อนมองกลับไป
ในวงการบันเทิง
ในช่วงยุค 90
ที่ผ่านพ้นมา
ผลงานภาพยนตร์
William Shakespeare's
Romeo and Juliet
ในปี พ.ศ. 2539
เป็นผลงานการสร้าง
และกำกับภาพยนตร์
โดย Baz Luhrmann
ซึ่งตัวเขาเองนั้น
ได้ร่วมเขียนบทภาพยนตร์
ร่วมกับ Craig Pearce
โดยเป็นการดัดแปลง
จากบทละครเวที
ของ William Shakrdpeare
โดยภาพยนตร์เรื่องนี้
มีผู้ถ่ายภาพ
คือ Donald M.Mcalpine
ตัดต่อภาพยนตร์
โดย Jil Bilcock
ดนตรีประกอบภาพยนตร์
โดย Neellee Hooper
Marius De Vries
และ Craig Amstrong
โดยมีการเปิดตัว
ต่อสื่อมวลชน
และเข้าฉาย
ในโรงภาพยนตร์
ไปทั่วโลก
ในช่วงปี พ.ศ. 2539
(สำหรับในประเทศไทย
ภาพยนตร์เรื่องนี้
เข้ามาฉาย
ในประเทศไทย
ในช่วงปี พ.ศ. 2540 )
William Shakespeare's
Romeo and Juliet
ฉบับงานสร้าง
ในปี พ.ศ. 2539
นำแสดงโดยนักแสดง
ที่ในช่วงวัยหนุ่มนั้น
เป็นพระเอก
ที่เป็นขวัญใจ
ของสาวๆ
ในช่วงกลางยุค 90
คือ Leonardo DiCaprio
ที่เป็นผู้รับบทบาท
เป็น Romeo
โดยเขานำแสดง
ร่วมกับ Claire Danes
นักแสดงสาววัยรุ่น
มากความสามารถ
จากละครโทรทัศน์
แนวชีวิต-วัยรุ่น
เรื่อง My so-called Life
ที่ในช่วงยุค 90 นั้น
ได้รับเสียงชื่นชม
มารับบทบาท
เป็น Juliet
(ข่าวลือในช่วงยุค 90
ในด้านการคัดตัว
คือนักแสดงสาว
ที่เข้ารอบสุดท้าย
ในการทดสอบบท
คือ Liv Tyler
และ Alicia Silverstone
ซึ่งสาวน้อยน่ารัก
คนหลังนี้
ยังเป็นเพื่อน
ในชีวิตจริง
ของ Leonado DiCaprio
ที่รับบท Romeo
ทำให้ได้รับเสียงเชียร์
จากแฟนๆ
ที่เป็นผู้ชมสาวๆ
จากนิตยสารวัยรุ่น
ฉบับต่างๆ
อย่างมาก
แต่ในท้ายสุดแล้ว
ผู้กำกับภาพยนตร์
และทีมงาน
ก็ตัดสินใจ
เลือก Claire Danes
ที่มีความสามารถ
ทางการแสดงสูง
และสามารถ
พูดบทละคร
ที่เป็นลักษณะเฉพาะ
ของ Shakespeare
ออกมาอย่างคล่องแคล่ว
และเป็นธรรมชาติ
มากกว่านักแสดง
ท่านอื่นๆ
ที่มาแคสต์บทนี้)
โดยนอกจากนักแสดงนำ
ในบทหลักของเรื่อง
ผลงานภาพยนตร์
เรื่อง Romeo and Juliet
ฉบับปี พ.ศ. 2539
ยังมีนักแสดงท่านอื่นๆ
อย่าง Paul Leguizamo
Brian Dennehy , Paul Sorvino
Paul Rudd , Dianne Venora
Christina Pickles ฯลฯ
ที่มารับบทต่างๆ
ในภาพยนตร์เรื่องนี้
William Shakespeare's
Romeo and Juliet
ฉบับงานสร้าง
ในปี พ.ศ. 2539 เรื่องนี้
ยังคงเป็นเรื่องราว
ของความรักอมตะ
ของสองหนุ่มสาว
Romeo กับ Juliet
ที่ครอบครัว
และตระกูล
ของพวกเขา
มีความบาดหมาง
และมีความขัดแย้ง
กันมาช้านาน
ความแตกแยก
ของสองตระกูลใหญ่
ทำให้ความรัก
ของทั้งคู่นั้น
เต็มไปด้วยอุปสรรค
และจบลง
ด้วยโศกนาฏกรรม
เพื่อพิสูจน์รักแท้
ซึ่งเป็นเรื่องราว
ที่เป็นที่คุ้นเคย
และเป็นที่รู้จักกันดี
ของผู้ชมทุก-ทุกคน
แต่แม้ว่าการสร้างครั้งนี้
จะมีการดัดแปลง
ให้มีความทันสมัย
ในรูปแบบสมัยใหม่
แต่บทพูด
ของตัวละครต่างๆ
ก็ยังคงความงดงาม
ในแบบบทละครดั้งเดิม
ซึ่งถือเป็นการดัดแปลง
โดยไม่ทิ้งสิ่งที่ดีที่สุด
คือฝีมือการประพันธ์
ของผู้แต่งชื่อก้องโลก
อย่าง William Shakespeare
ทำให้ได้รับการยกย่อง
จากสื่อมวลชนต่างๆ
อย่างมากในขณะนั้น
ในด้านเนื้อหา
ให้มีความทันสมัย
ผ่านทางการแต่งกาย
ยุคสมัย อาวุธ
ลักษณะสังคม
บทบรรยายเรื่องราว
ที่มีการดัดแปลง
เป็นการรายงานข่าว
ทางโทรทัศน์
โดยคงไว้ซึ่ง
ในส่วนของโวหาร
จากงานประพันธ์
ของ William Shakespeare
ผู้เขียนบลอก
คิดว่าเป็นทางเลือก
ที่ชาญฉลาดมาก
ของผู้กำกับ
Baz Luhrmann
เพราะจากการสร้าง
ผลงานภาพยนตร์
ฉบับปี พ.ศ. 2511
ของผู้กำกับภาพยนตร์
Franco Zeffirelli
ที่มีความสมบูรณ์แบบ
ในทุกองค์ประกอบ
และทำให้คู่พระ-นาง
อย่าง Leonard Whiting
และ Olivia Hussey
นักแสดงหนุ่มสาว
ที่ในช่วงเวลานั้น
กำลังดูงดงาม
อย่างที่สุด
บนจอภาพยนตร์
และถือเป็นภาพจดจำ
ของผู้ชมมากมาย
ที่มีต่อการเป็นนักแสดง
ของหนุ่มสาวทั้งสอง
ซึ่งจากการแสดงนำ
ในภาพยนตร์เรื่องนี้
ที่ทำให้นักแสดงนำ
ทั้งสองท่านนี้
กลายเป็นขวัญใจวัยรุ่น
ของผู้ชมทั่วโลก
ในช่วงปลายยุค 60
และช่วงต้นยุค 70 นั้น
ก็ได้ทำให้ผู้ชม
เกิดความประทับใจ
และกลายเป็นผลงาน
ที่กลายเป็นความอมตะ
ในโลกของภาพยนตร์
เกินกว่าที่ใคร
และผู้สร้างรุ่นหลัง
จะลบภาพงดงาม
ในความประทับใจนี้ได้
(ในฐานะนักแสดง
ทั้ง Leonard Whiting
และ Olivia Hussey
ก็ไม่มีผลงานภาพยนตร์
ในเรื่องอื่นๆอีกเลย
ที่ผู้ชมให้การต้อนรับ
และประทับใจ
ได้เท่ากับการรับบทบาท
ในภาพยนตร์เรื่องนี้
ซึ่งก็เป็นผลกระทบ
มาจากความสำเร็จ
ของภาพยนตร์เรื่องนี้)
เรื่อง Romeo and Juliet
ฉบับปี พ.ศ. 2539 นี้
จึงเป็นการนำกลับมา
สร้างใหม่อีกครั้ง
ในรูปแบบที่แตกต่าง
จากฉบับปี พ.ศ. 2511
อย่างสิ้นเชิง
และจากเหตุผลนี้เอง
ที่ทำให้ภาพยนตร์
ฉบับงานการสร้าง
ในปี พ.ศ. 2539
เรื่องนี้นั้น
ไม่ได้ถูกนำ
ไปเปรียบเทียบ
กับภาพยนตร์อมตะ
ในปี พ.ศ. 2511
จากงานการสร้าง
ที่เต็มไปด้วยความสร้างสรรค์
และสร้างรูปลักษณ์ใหม่
ของ Romeo and Juliet
ให้กลายเป็นความรัก
ที่มีความอมตะ
และรุนแรง
ของหนุ่มสาวรุ่นใหม่
ในยุค Generation X
จนเกิดความโดดเด่น
จากเอกลักษณ์ที่มี
โดยไม่ต้องเทียบเทียม
กับผลงานชั้นเยี่ยม
ในการสร้างครั้งก่อน
ที่เป็นที่ฮือฮา
อย่างมาก
ในการสร้างครั้งนี้
คือการคัดเลือก
ตัวแสดงนำ
รวมถึงการคุมสไตล์
ทั้งเสื้อผ้า การแต่งกาย
การจัดฉาก โลเคชั่น
ที่มีสีสันฉูดฉาด
ในศิลปะแบบเม็กซิโก
ที่ใช้เป็นโลเคชั่น
ในการถ่ายภาพยนตร์
ออกมาได้อย่างโดดเด่น
และมีสีสันจัดจ้าน
ผ่านทางภาพรวม
ของตัวภาพยนตร์
รวมถึงโปสเตอร์
ภาพสำหรับการโปรโมท
ปกวีดีโอ ปกดีวีดี
ที่คุมคอนเซปต์
ไว้ได้อย่างดี
ตามที่ผู้กำกับภาพยนตร์
และฝ่ายออกแบบศิลป์
ได้วางรูปแบบไว้
ภาพยนตร์เรื่องนี้
ยังมีความแปลกใหม่
จากความคิด
ที่มีความสร้างสสรค์
ของผู้กำกับภาพยนตร์
Baz Luhrmann
และทีมงาน
ในฝ่ายสร้างสรรค์
ที่ได้มีการปรับเปลี่ยน
สิ่งแวดล้อมต่างๆ
ในภาพยนตร์เรื่องนี้
ให้สะท้อนภาพชีวิต
รวมถึงความรุนแรง
ของหนุ่มสาว
ในสังคมยุคใหม่
ออกมาอย่างทันสมัย
ผ่านทางรูปแบบ
ในการใช้ยาเสพติด
การใช้ปืน ปัญหาความรุนแรง
งานปาร์ตี้ รถยนต์ ฯลฯ
ในขณะที่บทพูดต่างๆนั้น
ยังคงบทละครเดิม
นั่นดูจะเป็นอีกหนึ่ง
ของเหตุผลสำคัญ
ที่นักวิจารณ์ต่างๆ
ให้การยอมรับ
และมีความชื่นชม
ในภาพยนตร์เรื่องนี้
จากการที่ผู้กำกับ
มีความกล้าที่จะเสี่ยง
ในการนำเสนอรูปแบบใหม่
ในแง่นี้ออกมา
แม้จะเป็นจากการหยิบยก
งานประพันธ์อมตะ
ซึ่งในแง่ความคิด
ของการที่จะแตกต่างนี้
ทำให้ผู้กำกัยภาพยนตร์
ได้รับคำชมเชย
จากความกล้า
ในการตัดสินใจ
และสามารถทำได้ถึง
จากการแตกต่าง
ได้อย่างมีสไตล์
ที่เป็นตัวของตัวเอง
ต่อสื่อมวลชน
และเข้าฉาย
ในโรงภาพยนตร์
ไปทั่วโลก
จุดที่ฮือฮา
และเป็นที่สังเกตุ
อีกข้อหนึ่ง
ของผู้ชมภาพยนตร์
และสื่อมวลชน
คือบทบาท
ของเพื่อนรัก
ของ Romeo
อย่าง Mercutio
ในฉบับการสร้าง
ในปี พ.ศ. 2539 นี้
ดูจะแฝงนัยยะ
ของความเป็นเกย์
ที่แสดงออกมา
ในฉากบรรยายความฝัน
หรือฉากงานปาร์ตี้
ที่มาพร้อมอารณ์
ในแบบเมายา
ที่ให้ผู้ชมภาพยนตร์
ได้ตีความกันเอง
ซึ่งการวางบทบาท
ของเพื่อนสนิท
ของ Rpmeo
ให้มีความเป็นเกย์
อาจเป็นสิ่งเล็กน้อย
เมื่อมองย้อนกลับไป
แต่หากคิดในอีกด้าน
ก็ถือเป็นความล้ำหน้า
และเปิดกว้างอย่างมาก
จากการที่ Baz Luhrmann
ใส่ชีวิตจริงๆ
ของผู้คนจริงๆ
เข้าไปในยุคสมัย
ของภาพยนตร์
ที่นำบทละครอมตะ
ที่มีอายุกว่า 400 ปี
มาสร้างในครั้งนี้
อีกด้านหนึ่ง
ของผลงานภาพยนตร์
เรื่อง Romeo and Juliet
ฉบับปี พ.ศ. 2539 นี้
คือการมีเพลง
และดนตรี
ประกอบภาพยนตร์
ที่มีความทันสมัย
ซึ่งสามารถสะท้อน
วันเวลาและตัวตน
ของหนุ่มสาวรุ่นใหม่
ในช่วงกลางยุค 90
ออกมาได้อย่างดี
โดยเพลงต่างๆ
ที่ใช้ประกอบ
ในภาพยนตร์เรื่องนี้
ก็ได้สะท้อน
กระแสความนิยม
ของวงการดนตรี
ในช่วงกลางยุค 90
ที่มีต่อความนิยม
ในรูปแบบดนตรี
แบบอัลเทอร์เนทีพ
ที่กำลังได้รับความนิยม
ในกลุ่มวัยรุ่น
โดยผลงานอัลบั้ม
เพลงประกอบภาพยนตร์
Romeo and Juliet
ก็ถือเป็นอัลบั้ม
เพลงประกอบภาพยนตร์
ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก
ในช่วงกลางยุค 90
โดยในประเทศไทยเอง
ก็ได้มีผลงานเพลง
ในอัลบั้มชุดนี้
นำมาจัดจำหน่าย
ในแบบลิขสิทธิ์
โดยออกวางจำหน่าย
อย่างต่อเนื่อง
ถึง 2 ชุด
เพื่อเป็นการตอบรับ
กระแสความนิยม
ของแฟนๆ
โดยผลงานเพลง
ที่ใช้ประกอบภาพยนตร์
ในอัลบั้ม 2 ชุดนี้
มีผลงานเพลงเด่นๆ
จากภาพยนตร์
ในความทรงจำ
ของผู้ชมยุค 90
อย่าง Kissing You
Lovefool ฯลฯ
ที่ได้รับความนิยม
จากผู้ฟังอย่างมาก
ในขณะนั้น